“PATEX” ชูจุดเด่นเร่งสร้างแบรนด์ ชิงคืนเจ้าตลาดที่นอนยางพารา

ศึกที่นอนยางพาราระส่ำหนัก!ทุนจีนเข้าไทย แห่ก็อปปี้สินค้า-ตัดราคา ด้านผู้นำตลาดไทย “ปาเทกซ์” สวนกลับ ขยายตลาดออนไลน์ในจีน เหตุคุณภาพและมาตรฐานยังเป็นต่อ พร้อมปรับตัวเร่งสร้างแบรนด์ในไทยให้แกร่งขึ้น เตรียมลดสัดส่วน OEM จาก 80% เหลือเพียง 40% พร้อมชูจุดเด่นเรื่องประวัติศาสตร์ที่คู่แข่งไม่มี

นายณัฐพัฒน์ นิธิอุทัย กรรมการ บริษัท ปัตตานีอุตสาหกรรม (1971) จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เลย์เทกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่นอนและหมอนยางพาราธรรมชาติแท้ 100% ภายใต้แบรนด์ “ปาเทกซ์” (PATEX)เปิดเผยว่า ในภาวะที่ตลาดผลิตภัณฑ์ที่นอนและหมอนยางพาราธรรมชาติแท้ 100% มีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา รวมถึงจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการซึ่งเริ่มมีนักลงทุนต่างชาติจากประเทศจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเผชิญปัญหาหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการลอกเลียนแบบสินค้าและตัดราคา บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและกลับคืนสู่ตำแหน่งผู้นำทางการตลาดอีกครั้งหนึ่ง

บริษัทฯ มีนโยบายปรับรูปแบบการทำตลาดให้เข้มแข็งขึ้นด้วยการเน้นจำหน่ายปลีกในประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแรงจากอดีตที่ผ่านมาซึ่งมีการรับช่วงการผลิตในลักษณะOEM ให้แบรนด์ต่าง ๆ เป็นสัดส่วนมากถึง 80% โดยจะลดให้เหลือ40%ภายในปี 2563 เนื่องจากมั่นใจว่าการทำตลาดและสร้างแบรนด์ของเราเองนั้นจะสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจมากกว่า ขณะที่การรับช่วงการผลิตนอกจากจะมีคู่แข่งมากแล้ว ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วย โดยในอนาคตอันใกล้นี้ยังมีแผนจะนำสินค้าเข้าจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดอีกด้วย เช่น เซ็นทรัล โฮมเวิร์ค เป็นต้น

“ส่วนตลาดส่งออกจะยังคงรักษาตลาดใหญ่ไว้เช่นเดิมโดยเฉพาะจีน พร้อมจะขยายไปยังมณฑลต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นนอกจากกรุงปักกิ่งที่ทำตลาดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เพราะชาวจีนยังคงมั่นใจในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของเรา โดยจะเน้นทำการตลาดช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เช่น Tmall, Taobao, Amazon China โดยภายในเดือนมิถุนายน 2562 ยังจะเปิดร้านใน Tmall Global อีกด้วย นอกจากนั้นยังจะเปิดตลาด CLMV และอินเดียเพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นในการทำตลาดเองเพื่อเป็นลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการใช้ตัวแทนจำหน่าย”

นอกจากนี้บริษัทฯ วางแผนทุ่มงบลงทุนด้านการตลาดกว่า 50-100ล้านบาท และรีแบรนด์ที่นอน“PATEX”ให้มีความทันสมัย เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น พร้อมเพิ่มคำนิยามว่า “Sleep Expert”เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคให้ใส่ใจในเรื่องสุขภาพ รวมถึงเน้นกิจกรรมออนไลน์ในการให้ความรู้ผู้บริโภคว่า “จะดีกว่า..ถ้าดูแลสุขภาพของเราตั้งแต่วันนี้ ด้วยการเลือกที่นอนดี เพื่อสุขภาพ” โดยจะเน้นไปยังลูกค้ากลุ่มวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 40ปีขึ้นไป โดยจะกำหนดตำแหน่งทางการตลาดใหม่ (Repositioning) ของที่นอนยางรา 6ฟุตจากเดิมที่เป็นสินค้าระดับพรีเมียมให้เป็นสินค้าที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ในระดับราคาไม่เกิน2 หมื่นบาท

ณัฐพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า “สิ่งหนึ่งที่บริษัทฯ มั่นใจว่าเราแตกต่างมาตลอดก็เพราะว่า บริษัท ปัตตานีอุตสาหกรรม (1971) จำกัด โรงงานผลิตที่นอนยางพาราภายใต้แบรนด์ “PATEX” (ปาเทกซ์) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 จนถึงปัจจุบันมายาวนานกว่า 48 ปีนั้น ปัตตานีอุตสาหกรรม ถือเป็นโรงงานรายแรกที่คิดค้น พัฒนา และต่อยอดธุรกิจที่แปรรูปจากผลผลิตน้ำยางที่ชาวปัตตานีปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยได้เริ่มต้นธุรกิจจากบริษัทเทรดดิ้งของคุณปู่เต็มสิทธิ์ นิธิอุทัย ภายใต้ชื่อ หจก.เต็กสุ่นพาณิชย์ ซึ่งดำเนินธุรกิจซื้อสินค้าจากปีนังและสิงคโปร์ นำเข้ามาจำหน่ายภายในจังหวัดปัตตานีตั้งแต่ปี 2495และในปี 2513 ท่านได้คิดค้นวิธีการผลิตฟองน้ำยางพารา หรือลาเทกซ์โฟม เนื่องจากเห็นว่าจังหวัดปัตตานีมียางพาราเป็นจำนวนมาก จึงใช้พื้นที่ในบ้านเป็นสถานที่ทดลองเพื่อผลิตเบาะรถสามล้อถีบจนประสบความสำเร็จ และสามารถเปลี่ยนเบาะรถสามล้อถีบจากใยมะพร้าวให้เป็นฟองน้ำยางพาราได้ทั้งจังหวัดปัตตานี จนสามารถครองส่วนแบ่งการตลาด 100% จากจำนวนรถสามล้อถีบทั้งหมด 80 คัน” ในช่วงนั้น หลังจากนั้นในปี2514 คุณปู่เต็มสิทธิ์ จึงได้เปลี่ยนชื่อ หจก.เต็กสุ่นพาณิชย์ เป็น บริษัท ปัตตานีอุตสาหกรรม (1971) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตฟองน้ำยางพาราธรรมชาติโดยเฉพาะ พร้อมผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับยางพารา เช่น หนังสติ๊ก ลูกโป่ง ตุ๊กตายางพารา พร้อมขยายธุรกิจส่วนโรงงานจากเดิมใช้พื้นที่บ้าน สร้างโรงงานบนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ เพื่อผลิตหมอนและที่นอนยางพาราขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ “ PATEX” (ปาเทกซ์) ซึ่งมาจากคำว่า “ปัตตานี” และ “ลาเทกซ์” ซึ่งหมายความว่า “ยางของชาวปัตตานี” 

“ในช่วงเริ่มต้นดำเนินธุรกิจระหว่างปี2514-2524การขยายตัวธุรกิจเพิ่มขึ้น อย่างช้าๆ บริษัทฯ จึงรุกทำการตลาดอย่างหนัก เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองใช้สินค้า 100% พร้อมรับประกันความทนทานของสินค้า รวมถึงให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่ายางพารามีความยืดหยุ่นและรองรับน้ำหนักได้ดี ใช้ดีไซน์ที่เหมาะกับสรีระของผู้ใช้เป็นจุดขาย แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยม และได้รับการตอบรับตามที่ดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้บริโภคนิยมที่นอนนุ่มและใยมะพร้าวอัดมากกว่า ประกอบกับยังถือเป็นธุรกิจท้องถิ่นทำให้สามารถจัดจำหน่ายสินค้าได้เพียงในจังหวัดปัตตานีและร้านค้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น”

จนกระทั่งธุรกิจเปลี่ยนมาสู่รุ่นคุณพ่อคือ ดร.บุญธรรม นิธิอุทัย จึงเริ่มมีการเติบโตมากขึ้นเมื่อมีการขยายกำลังการผลิต พร้อมโรงงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานี 4 กิโลเมตร เพื่อขยายกิจการรับซื้อน้ำยาและรับกลั่นน้ำยาง พร้อมกับผลิตและจำหน่ายน้ำยางข้นควบคู่กันไปด้วย ก่อนที่จะมีการขยายโรงงานอีกครั้งบนพื้นที่20 ไร่ พร้อมมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10เท่าในยุคที่ตนเข้ามารับช่วงต่อเป็นรุ่นที่ 3ในปี 2540โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตหมอนวันละ3,000-4,000ใบ ที่นอนวันละ 400 แผ่น / วัน  มีอัตราการเติบโต 20% ต่อปี โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตรวมเป็นวันละ 800-1,200ชิ้นภายใน 5ปี 

ปัจจุบันบริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการขยายโรงงานตัดเย็บและประกอบที่นอนที่จังหวัดราชบุรี ขนาด 7 พันตารางเมตร บนพื้นที่ 10 ไร่จากทั้งหมด 40 ไร่ โดยมีการใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ในลักษณะกึ่งอัตโนมัติให้มีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมกับมีแผนลงทุนก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าในอนาคตด้วย